วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Matte Painting

Matte Painting คนที่ทำงานCGทุกคนคงรู้จักคำนี้ดี มันคือการเปลี่ยนฉากหลังบางส่วนในภาพยนตร์ด้วยการวาด,ประกอบ,หรือสร้างขึ้นใหม่ ด้วยวิธีการใดๆ เพื่อให้ภาพสมบูรณ์และสวยงาม ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันเราจพทำมันด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ในอดีต เขาทำมันบนกระจก



Norman O. Dawn (1884-1975) นักถ่ายภาพหนุ่มที่ได้เรียนรู้วิธีการแก้ฉากหลังจากบริฐัทที่เขาทำงานเป็นช่างภาพนิ่งให้ เรียกกันว่า Glass shots ในสมัยนั้น glass shots ก็เมือนโฟโต้ชอปของช่างกล้องที่สามารถ ลบ หรือเพิ่มเติมแก้ไขภาพได้ กระบวนการคือวาดรูปลงกระจกใสเพื่อแก้ไขฉากในส่วนที่ต้องการแต่เว้นบางส่วนที่ต้องการใช้ภาพจริง และถ่ายผ่านกระจกไปหาวัตถุจริง เพื่อได้ภาพที่ต้องการลงบนฟิล์ม




ภาพจาก nzpetesmatteshot.blogspot.com ลองเข้าไปดูจะมีรูป Glass shots หนังในอตีตหลายเรื่องทีเดียว

Dawn ได้หยิบเทคนิคนี้มาใช้ในงานภาพยนตร์เป็นรายแรกในเรื่องCalifornia Missions (1907) เขาทำงานด้านภาพยนตร์และใช้เทคนิคนี้เสมอๆ แต่บางครั้งการไปวาดรูปบนกระจกที่โลเกชั่นดูจะไม่ใช่เรื่องสะดวกนัก เพราะต้องใช้เวลาและความอดทนมาก เขาจึงพัฒนาเทคนิคใหม่ขึ้นมาเรียกว่า Original negative matte painting คือการทาสีดำลงบนกระจกในส่วนที่ไม่ต้องการแทนที่จะวาดรูป ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่ามาก หลังจากถ่ายด้วยฟิล์ม ส่วนที่เป็นสีดำจะไม่มีภาพติด ซึ่งศิลปินสามารถวาดรูปต่อฉากได้จากในสตูดิโอ และนำมาถ่ายผสมกับฟิล์มที่ถ่ายมาแล้วภายหลัง ก็จะได้ภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งหลายครั้งผู้สร้างก็ใช้วิธีถ่ายสองครั้งจากสองโลเคชั่น และนำมาผสมกันด้วยเทคนิคนี้



แต่ด้วยเทคนิค Original negative matte painting ยังจำเป็นต้องวาดรูปลงกระจก แม้จะเร็วกว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าไม่สะดวกด้านออกกอง การคิดวิธีทำMatte Painting จากฟุตดิบที่ถ่ายมาโดยไม่จำเป็นต้อง เสียเวลาวาดรูปหน้าเซทจึงถูกพัฒนา

Bi-pack contact matte printing เป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยให้การถ่ายทำแมทเพนท์ง่ายขึ้น เพราะผู้สร้างสามาถถ่ายทำฉากที่ต้องการได้โดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับมัน แต่ขั้นตอนแมทจะมาอยู่ในสตูดิโอล้วนๆ



โดยขั้นตอนคือต้องล้างฟิล์มที่ถ่ายมาเพื่อมาฉายลงบนกระจกแล้วเพนท์ฉากที่ต้องการลงไป ก่อนนำมาถ่ายซ้ำสองขั้นตอนคือ หลังขาวหน้าดำ และหลังดำหน้าสีปกติ และเอาฟิล์มทั้งหมดมาประกอบกันด้วยการถ่ายซ้ำเพื่อได้งานไฟนอลที่สมบูรณ์

แม้ปัจจุบันเทคนิดเหล่านี้จะเลิกใช้กันไปแล้ว แต่นี่คือพื้นฐานงานคอมโพสิทที่ปัจจุบันยังใช้กันอยู่เพียงแต่เปลี่ยนรูปมาอยู่ในคอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆเท่านั้น คนทำงานด้านนี้จำเป็นที่จะต้องรู้ที่มาที่ไปของขั้นตอนต่างๆอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้การใช้โปรแกรมต่างๆเข้าใจได้อย่างชัดเจนมากขึ้น


ทิ้งท้ายกันที่หนังEarthquake(1974) เป็นหนังที่ดังมากในยุคนั้น และความสำเร็จของหนังเรื่องนี้คือการใช้เทคนิคแมทเพนท์ที่น่าทึ่งรวมถึงการฉายภาพด้านหลังที่เราจพได้คุยในรายละเอียดต่อไปในโอกาศหน้าครับ

Physical Effect การจำลองเอกลักษณ์ธรรมชาติ

Physical Effect การจำลองเอกลักษณ์ธรรมชาติ

ฟังดูอาจจะยังงงกับความ หมายภาษาไทย (ที่ผมเขียนเอาเอง) แต่ความหมายของมันคืออย่างนั้นจริงๆ เพราะผู้สร้างภาพยนตร์ไม่อาจรอวันคืนที่แดดออกฝนพรำหรือหิมะตกได้ ความคิดที่จะควบคุมธรรมชาติจึงเป็นหนึ่งในการสร้างภาพมายาที่ผู้สร้างหนัง พยายามจะทำ นอกจากนั้น เหตุอันตรายทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ โดนยิง หรือแม้แต่ระเบิด ก็คงไม่มีใครอยากใช้ของจริง งานด้าน Physical Effect จึงเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ "จำลองเอกลักษณ์รรมชาติ" แบ่งแยกย่อยได้หลายส่วนคือ

ฝน
หิมะ
ลม
คลื่น
ควัน
กระจก/แก้ว
ไฟจากอาวุธปืน
วัตถุที่ถูกทำลายจากอาวุธ
ระเบิด
ยานพาหนะเสียการทรงตัว
และ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของสิ่งใดๆที่ไม่มีร่วมในฉากในขณะถ่ายทำ (Element Effect)

ขอพูดรวมๆแบบไม่เฉพาะเจาะจงนะครับ เพราะมันค่อนข้างเยอะ เดี๋ยวจะยาว

งานPhysical Effect แบ่งกว้างๆได้2แบบคือ เลียนแบบอากาศธรรมชาติ(Nature) และการเลียนแบบการทำลาย(Blast) ซึ่งสามารถทำได้ทั้งจากการสร้างจากบุคคลหรือสร้างในขั้นตอนPost Production กล่าวคือ เมื่อเราต้องการหิมะ เราสามารถทำหิมะได้ในเซ็ทขณะถ่ายทำ หรือไปทำด้วยCGI หรือใช้ประกอบกันทั้งสองส่วน


อย่าง ภาพยนตร์เรื่อง แฮรี่พอทเตอร์ ที่ตรอกไดแอกอนร้านหม้อใหญ่รั่ว ได้มีการเซ็ทหิมะไว้ในฉากปริมาณหนึ่ง ก่อนไปเพิ่มส่วนหิมะที่โปรยปรายด้วยCGI เป็นการผสมสองส่วนของเทคนิดเพื่อความสมบูรณ์




การ ทำฝน เป็นหนึ่งในงาน Physical Effect ที่ใช่มากที่สุด แต่ก็มีรูปแบบที่หลากหลาย เพราะฝนตกได้หลายลักษณะ ตั้งแต่ปรอยๆจนถึงพายุ เทคนิคของงานจึงแตกต่างกันไป ตั้งแต่การปล่อยให้หยดผ่านตระแกรง สายยางฉีด จนถึงใช้รถน้ำขนาดใหญ่ และสิ่งที่สำคัญกับฝนที่จะสร้างให้มันมีชีวิตมากขึ้นก็คือลม


การ สร้างลมก็มีรูปแบบที่หลากหลายเช่นกัน ตั้งแต่การทำลมด้วยไดรเป่าผม จนถึงพัดลมยักษ์ หรือเครื่องบินเจทอย่างในเรื่องTwisterเขาใช้เคื่องโบอิ้ง747 ในฉากพายุ

ย้อนกลับเข้ามาประวัติศาสตร์กันหน่อยนะครับ คนแรกๆที่สร้างงานPhysical Effect บนแผ่นฟิล์ม คือmack sennettและ Buster Keaton




ซึ่งทั้งคู่คืนักแสดงตลกที่เรียกขานกันว่า slapstick comedy หรือตลกหกคะเมนนั่นเอง



ลองดูงานของBuster Keatonนะครับ จะเห็นงานทั้งฝนทั้งพายุของเขา

ควัน : โบราณว่า ไม่มีควันใดไม่เกิดจากไฟ แต่สำหรับงานหนังแล้วควันจากไฟ อันตรายเกินไปที่จะใช้ในการถ่ายทำจริง ผู้สร้างจึงพยายามสร้างควันปลอมขึ้นมา โดยมีสามลักษณะคือ ควัน(ไฟ) หมอก และ ไอน้ำ ซึ่งไอน้ำ สามรถทำได้จากน้ำร้อน หมอกก็นิยมใช้น้ำแข็งแห้ง ซึ่งให้ความปลอดภัยแก่นักแสดงและทีมงานได้พอสมควร แต่ควันไฟนั้นจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบอื่น


แรกเริ่มผู้สร้างหนัง ใช้ระเบิดควันที่ใช้ในการแสดงเครื่องบินผาดโผน(คงพอนึกภาพออกนะครับ)ในการ สร้างควันในฉาก มันให้ปริมาณควันที่หนาและได้พื้นที่กว้าง แต่ด้วยที่มันทำจากสารเคมี ควันจึงมีพิษเกินกว่าจะใช่ร่วมกับนักแสดง การพัฒนา smoke machine จึงเกิดขึ้นจากหลักการว่าน้ำมันก่อนสันดาบจะเกิดควัน ยกตัวอย่างว่าถ้าเราเอาน้ำมันตั้งเตาไว้นานๆ ควันของน้ำมันจะพวยพุ่งออกมาก่อนที่น้ำมันจะมีอุณหภูมิถึงจุดวาบไฟ เครื่องสร้างควันนี้จึงใช้หลักกราเดียวกัน คือป้อนความร้อนเข้าไปบนแผ่นโลหะจนได้อุณหภูมิสูงพอจึงพ่นละอองน้ำมันลงไป น้ำมันจะสร้างควันขึ้นมา

หลายปีต่อมาการใช้น้ำมันสร้างควันเป็นที่ นิยม แต่มันยังคงไม่ปลอดภัยพอสำหรับนักแสดงและทีมงาน น้ำมันแร่จึงเข้ามาทดแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น เพราะปลอดภัยมากกว่า ที่ขอละเอียนกับสโมคหน่อยเพราะเห็นเป็นเรื่องใกล้ตัวพวกเรา เชื่อว่าคงไม่มีคนทำหนังคนไหนไม่เคยสูดกลิ่นสโม้คที่เหม็นติดจมูก แต่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยดี

อีกเทคนิคที่หลายคนคงเจอบ่อยคือ น้ำแข็งแห้ง ผมขออธิบายสั้นๆละกันนะครับ น้ำแข็งแห้งคือกาซคาบอนไอออกไซด์ ที่ถูกอัดด้วยความดันจนเป็นของเหลว ก่อนถูกแช่ด้วยความเย็นยิ่งยวด และฉีดออกมาจากแท็งค์บรรจุ ด้วยหลักการว่าก๊าซหรือของเหลวถ้าถูกอัดจะเกิดความร้อนแต่ถ่าปล่อยให้ขยาย ตัวอย่างรวดเร็วจะกลายเป็นความเย็น หลักกรานี้ถูกใช้ในเครื่องทำความเย็น รวมถึงน้ำแข็งแห้งด้วย เพราะเมื่อกาซคาบอนไดออกไซด์ที่ถูกแช่เย็นจัดถูกพ่นออกมาก็ยิ่งเย็นเข้าไป อีกจนจับกันเป็นก้อนน้ำแข็ง และคาบอนไดออกไซด์ขยายตัวได้ดีในอุณหภูมิสูง การสร้างควันจากน้ำแข็งแห้งจึงใช้วิธีต้มมันในน้ำร้อนซึ่งจะให้ควันมหาศาล แต่ควันมันมีน้ำหนักสูงกว่าอากาศ จึงนิยมทำควันน้ำแข็งแห้งแทนหมอกหนาๆที่คลุมพื้นที่มากกว่า

BREAKAWAY EFFECTS หรือการจำลองวัตถุแตก ทั้งแก้วโต๊ะ กำแพงที่แตก ล้วนต้องใช้การสร้างจำลองวัตถุเพื่อทำการทำลายมันในฉากหนัง อย่างการสร้างกระจกแก้วในหนังนั้นไม่ได้มีแค่น้ำตาล มีทังไขมันสัตว์ เรซิ่น หรือแม้แต่การใช้กระจกจริงที่ผ่าพร้อมแตกเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันหลายคนก็เลือกใช้กระจกCGมันเสียเลยก็มี ด้านนี้จะไม่ลงลึกนะครับหากใครอยากรู้เพิ่มเติมถามกันได้นะครับ

การ ยิงปืนถือเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราต้องสร้างการเลียนแบบไฟปืนและผลกระทบของ มัน แต่ในสมัยก่อนเชื่อไหมครับ เขาเล่นเอาปืนจริงกระสุนจริงยิงกันเพียวๆเลย เพียงแต่ไม่หันไปซัดในทิศที่มีคนจริงๆเท่านั้น แน่นอนว่านั่นไม่ปลอดภัยอย่างมากสำหรับการถ่ายทำ การคิดพัฒนาปืนและเครื่องกระสุนสำหรับถ่านทำภาพยนตร์เลยเป็นเรื่องสำคัญเท่า ชีวิต



The Great Train Robbery(1903) ของ Edwin S. Porter หนังที่สาดกระสุนจริงใส่กัน จนถือว่าเป็นหนังที่มีความรุนแรงมากในยุคนั้น ถ้าได้ดูหนังเต็ม จะเห็นว่ามีเทคนิคแมทภาพด้วยเทคนิคฉายภาพด้านหลังในหนังด้วย

กระสุน ไร้หัวถูกนำมาใช้กับหนังในทันทีโดยปืนบางชนิดอย่างลูกโม่ สามารถใช้กับกระสุนไร้หัวได้ทันที แต่กับปืนที่มีระบบปฎิบัติการที่ซับซ้อน อย่างโรเทชั่นบีทล็อค หรือระบบขัดกลอนด้วยแก๊ซ จำเป็นต้องทำการปรับแต่งปืนเพื่อให้ใช้งานได้เหมือนปืนจริงๆ และจำเป็นต้องถอดเครื่องมือบางอย่างในปืนออกแล้วทดแทนด้วยสิ่งอื่น อย่างเช่นปลอกลดแสงที่ใชในปืนไรเฟิลนั้นมีหน้าที่ตามชื่อของมัน คือลดแสงจากไฟปืน เพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ตำแหน่งที่ปืนยิงออกมา แต่สำหรับหนังมันถูกเปลี่ยนเป้นท่อที่ดูภายนอกเหมือนปลอกลดแสง แต่มันทำหน้าที่นั้นไม่ได้เลย เพราะคนดูอยากเห็นไฟที่ปากกระบอก จะได้รู้ว่ามันถูกยิงมาจริงๆ

ด้วยความที่หนังชอบให้มีแสงที่ ปลายกระบอกปืนใหญ่ๆ เพื่อความสะใจตามแบบหนังแอคชั่น ปืนแก๊สก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ มันให้ไฟที่ใหญ่มาก แต่ไม่ค่อนนิยมในปืนขนาดเล็ก เพราะบรรจุแก๊ซได้ไม่มาก จึงยิงได้จำกัด หากใครได้ดูเบื้องหลัง True Lies ที่ผมโพสไว้กระทู้ที่แล้ว จะเห็นปืนกลที่ยิงมาจากเครื่องบินแฮริเออร์ นั่นคือปืนแก๊ซ มันนิยมนำมาใช้กับปืนกลขนาดใหญ่เพราะให้ไฟที่ใหญ่และสะดวกในการบรรจุแก๊ซ ปริมาณมาก

ปัจจุบันเทคนิคCGIพัฒนาขึ้นมากจนเราสามรถดีไซน์ได้ ทุกอย่างของไฟปืน ไม่ว่าขนาด หรือรูปร่างของมัน ถ้าใครเคยดู Equilibrium (หนังที่มีชื่อไทยที่ปวดตับมาก) ในหนังเรื่องนี้มีการใช้CGIในการสร้างไฟปืนที่แปลกตาออกไปตามแบบหนังอนาคต ส่วนตัวแล้วผมชอบทีเดียว (ยกเว้นชื่อไทย..ย้ำ)



PYROTECHNICS

นักสร้างภาพยนตร์ประดิษย์ไฟและการระเบิดเพื่อสร้างภาพที่น่าทึ่งให้กับผู้ชมโดยไม่สร้างอันตรายให้กับนักแสดงและทีมงาน ซึ่งให้ไฟลูกใหญ่ดูน่าตกใจแต่ไม่อันตรายอย่างที่เห็น ส่วนรายละเอียดเรื่องส่วนผสมคงต้องปิดเป็นความลับของคนทำงาน (เอาเป็นว่ามีโพแตสเซียมในเตรด กับดินดำละกันนะครับ)

ข้ามมาที่เรื่องการทำให้รถคว่ำด้วย Physical Effect นั้นเราเรียกกันว่าปืนใหญ่ (CANNON CAR) คือการดันให้รถควำ่ด้วยดินระเบิด ถ้าใครสังเกตุหนังดีๆ จะเห็นหลายครั้งที่รถคว่ำโดยไม่มีแรมป์ แต่มีควันหรือระเบิดใต้รถ นั่นคืCANNON CAR




จากคลิปและโมเดลด้านบนคงเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมขอข้ามเรื่องประวัติศาสตร์ไปเลยนะครับ

ส่วนที่เหลือของงานคือไฟ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ในความเป็นจริง แต่สำหรับหนังที่ต้องถ่ายซ้ำไปซ้ำมา มันต้องควบคุมได้ ซึ่งฉากที่ใหม้ไฟมักถูกสร้างเพื่อให้ถูกเผาในครั้งเดียวในยุคแรก แต่หลังจากนั้นก็มีการใช้แก๊ซพ่นไฟผ่านท่อโดยไม่ทำลายฉากมาแทน และแน่นอนที่สุดทุกวันนี้เรามีCGIที่ทำให้งานปลอดภัยยิ่งขึ้น(เรื่องนี้ก็ขอข้าปะวติศาสตร์ไปนะครับเดี๋ยวเบื่อ ใครอยากรู้ลองเสิร์จหาCliff Richardson ดูนะครับ)

และมาจบสุดท้ายกันที่งาน Element Effect คือการสร้างผลกระทบจากสิ่งใดๆที่ไม่มีในฉาก



Roger rabbit น่าจะชัดเจนเรื่องElement Effectมากที่สุด เพราะในขณะที่ถ่ายผู้สร้างต้องจำลองผลกระทบต่างๆที่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ใส่ตัวกระต่ายลงไป งานElement Effect นั้นจึงหมายรวมทุกอย่างใน Physical Effect แต่ถูกสร้างเพื่อการเอามาประกอบกันในงานPostเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ ไม่ว่าPhysical Effectจะสร้างจากของจริง(ถ่ายแมท) หรือเขียนด้วยCGI ก็ตาม

คงจบอย่างย่นย่อเท่านี้ครับ เกรงใจคนอ่าน ไม่อยากใส่วิชาการเกินไปกลัวเบื่อ ชอบไม่ชอบบทความผมยังไง แนะนำได้นะครับ
การสร้างภาพพิเศษจากเทคนิคของกล้อง optical illustion

ในสมัยแรกนักสร้างภาพยนตร์ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ากล้อง,ฟิล์มและจินตนาการ ความฝันที่จะสร้างภาพมายาให้คนทึ่งนั้น ก็ต้องหันมาใช้เทคนิคที่ไกล้ตัวที่สุดนั่นคือกล้อง ไม่ว่าจะการเล่นภาพย้อน ถ่ายด้วยสปีดสูงหรือต่ำ การถ่ายแบบTimelaps หรือการหลอกด้วยเลนส์ ก็ถือเป็นการสร้างภาพมายาให้กับหนังได้ทั้งสิ้น และแน่นอนว่าจนปัจจุบัน การใช้กล้องในเทคนิคเก่าแ่ก่นี้ก็ยังคงหลงเหลือให้เราได้ใช้หากินกัน


Georges Méliès ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์ เขาคิดค้นการสร้างภาพมายาบนจอหนังไว้มากมาย แม้หนังเขาจะดูเหมือนการแสดงมายากลมากกว่า แต่เขาก็คือผู้ริเริ่มการสร้างภาพพิเศษในหนังอย่างจริงจัง



เทคนิคข้างบนเราคงคุ้นตากับหนังผีเก่าๆ พวกผีหายตัวอะไรประมาณนั้น แต่ปัจจุบันคงไม่มีใครทำเทคนิคนี้กันแล้ว แต่มีหนึ่งเทคนิคที่เราใช้กันมายาวนานนั่นคือการถ่ายทำแบบ Undercrancking



The french connection (1971) ฉากรถไล่ล่านี้เป็นหนึ่งในฉากคลาสสิคตลอดการ การถ่ายฉากรถที่วิ่งตามรถไฟนี้ ต้องการให้ภาพที่เร็วและตื่นเต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขับได้เร็วขนาดนั้นอย่างปลอดภัย เพราะรถต้องคอยหลบอุปสรรคต่างๆบนท้องถนนตลอดเวลา การใช้ Undercrancking คือเทคนิคที่ช่วยให้ซีนนี้ประสบความสำเร็จ

Undercrancking คือการถ่ายด้วยสปีดต่ำ เช่น 12 เฟรม/ วินาที แล้วนำมาฉายที่24เฟรม ภาพที่ได้ก็จะเร็วกว่าถึง2เท่า แต่ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งมีชีวิต เพราะการเคลื่อนไหวของคนจะดูผิดธรรมชาติไปด้วย นอกจากเทคนิคนี้ ก็ยังมีเทคนิคตรงข้าม ซึ่งเรียกว่า Overcrancking หรือปัจจุบันที่เราชอบเรียกว่า Hispeed Shooting

Hispeed Shooting นอกจากเอาไว้ทำมิวสิควิดิโอสวยๆแล้ว เราสามารถสร้างภาพพิเศษจากมันได้ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า "วัตถุที่ใหญ่จะเคลื่อนไหวช้ากว่าวัตถุที่เล็กกว่า" ด้วยเหตุนี้ผู้สร้างหนังจึงนำเอาเทคนิคOvercrancking มาถ่ายทำฉากย่อส่วนที่มีขนาดเล็ก เื่พื่อเวลาเล่นในสปีดปรกติจะดูเหมือนว่าวัตถุมีขนาดใหญ่ ซึ่งมีสูตรคำนวนที่เป็นมาตรฐาน
โดย D แทนด้วยขนาดจริงของวัตถุ d แทนด้วยขนาดของฉากย่อส่วน โดยวัดเป็นฟุต เราจะได้ค่าสปีดโดยประมาณของกล้องที่ควรใช้ในการถ่ายฉากย่อส่วน ตัวอย่างเช่น ตึกสูงจริง30ฟุต ถ่ายโดยมีฉากย่อส่วนสูง 3 ฟุต (ขนาด1/10) ฉายด้วยความเร็วปรกติ 24Fps จะต้องถ่ายด้วยความเร็วประมาณ76Fps

nolanfans.com
ลองเข้าไปดูตัวอย่างการถ่ายฉากย่อส่วนดูครับ

การใช้ฉากย่อส่วนนั้นไม่ได้มีแค่ถ่ายเพื่อพังหรือระเบิดทิ้งเท่านั้น มันยังสามารถต่อฉากในหนังให้เป็นฉากที่ใหญ่โตอลังการขึ้นได้ด้วยการทำงานร่วมกับการใช้ระยะชัดของเลนส์ ซึ่งเราอาจนำฉากย่อส่วนมาวางไว้หน้ากล้องซึ่งถ่ายผ่านไปเห็นนักแสดงที่อยู่ในเซท โดยใช้เลนส์ที่มีระยะชัดกว้าง และเทคนิครูรับแสงที่ช่วยสร้างระยะชัดได้กว้าง กล่าวคือ ทั้งตัวแสดงจนถึงฉากย่อส่วนต้องชัดเท่ากันหมด ผลที่ออกมาคือภาพนักแสดงที่อยู่ร่วมกับฉากย่อส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งผู้สร้างภาพยนตร์ อาจใช่การวาดลงแผ่นกระจก หรือการฉายภาพด้านหน้าผ่านกระจกสองทางร่วมไปด้วย แต่ปัจจุบันเทคนิคดังกล่าวก็เสื่อมความนิยมไปพร้อมๆกับการเติบโตของคอมพิวเตอร์กราฟฟิก

นอกจากการใช้สปีดกล้อง เลนส์กล้อง ยังมีการใช้อุปกรณ์เคลื่อนกล้องอย่างดอลลี่ มาใช้ร่วมกับเลนส์ซูม เป็นเทคนิคที่เราคุ้นตากันจนปัจจุบันก็ยังมีคนใช้อยู่ Tromebone shot



คือการ ดอลลี่เข้า แต่ซูมออก หรือ ดอลลี่ออก แล้วซูมเข้า นั่นเอง ซึ่งหัวใจสำคัญคือการรักษาเสกลของตัวObjective(ซึ่งในตัวอย่างคือนักแสดงสองคน) ในอยู่ในขนาดเท่ากันทั้งชอท แต่การเปลี่ยนแปลงของโฟคอลเลนส์ ทำให้ฉากมีขนาดที่แปลกประหลาด

บิดาแห่ง Tromebone shot คือ เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ อัลเฟรด ฮิชคอก ในภาพยนตร์เรื่อง vertigo(1958) เขาคิดค้นเทคนิคนี้เพื่อสร้างภาพให้ดูหลอนในหนังของเขา แต่มันกลับกลายเป็นมาตรฐานของการสร้างชอท ตกใจ หรือสัมผัสพิเศษ ของโลกภาพยนตร์ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

อะไรคือ Visual Effect

คำว่า Visual Effect แปลให้เข้าใจได้ว่า "การสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพ" ซึ่งมีการแบ่งรูปแบบการสร้างงานไว้หลายลักษณะ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย เงินทุน และการตอบสนองทางศิลปะ กล่าวคือ การสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพ มีเจตนาเพื่อนำภาพที่สร้างไปผสมรวมกับ ภาพที่ถ่ายทำจริง(Live Action) เพื่อความปลอดภัยกับนักแสดง เช่นการถ่ายบนคียย์สกรีน เพื่อแยกนักแสดงกับฉากระเบิดของรถ แล้วนำมาผสมภาพกันภายหลัง หรือเพื่อ การประหยัดต้นทุน เช่นการถ่ายฉากย่อส่วนของเมืองที่ปรักหักพัง แล้วนำมาฉายภาพด้านหลังตัวแสดง(Rear Projection) เพื่อให้เกิดภาพว่านักแสดงยืนอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ล่มสลาย เป็นต้น

จะ เห็นได้ว่า การสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพ นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างCGI (Computer Generated Images) เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าวิธีใดๆ ที่สามารถสร้างภาพพิเศษดังกล่าวก็ล้วนเรียกว่าการสร้างเทคนิคพิเศษทางภาพ หรือVisualEffect ทั้งสิ้น

เราสามารถแบ่งแยกย่อยเรื่องโครงสร้างงานVFXได้หลายแบบ

1 การสร้างฉากย่อส่วน (miniature) แบบจำลอง(Model) หุ่นควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์(Animatronic) หุ่นเชิด (puppets) เป็นการถ่ายทำจากวัตถุจริงที่มีขนาด เล็กกว่า หรืออาจเท่าจริง เพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหว ใช้สำหรับประกอบการสร้างเทคนิคพิเศษ เช่นการถ่ายสตอปโมชั่นของสัตว์ประหลาดที่กำลังต่อสู้กับพระเอก เป็นต้น

2 การวาดต่อเติมฉาก (Matt Painting) งานลักษณะนี้จะไม่ใช่การสร้างภาพขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการวาดภาพเพิ่มเติมจากของเดิม เช่น เราถ่ายตึกที่เซทอัพมา สูงแค่ชั้นเดียวแต่ต้องการสูงสิบชั้น ศิลปินจึงต้องวาดภาพต่อในอี9ชั้นที่เหลือ ไม่ว่าจะวาดจากคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมหรือเทคนิคใดๆ หรือการวาดสดลงบนกระจกใสแล้วใช่กล้องถ่ายผ่านไป ก็ถือว่าเป็นการทำ Matt Painting ทั้งสิ้น

3 การถ่ายแยกองค์ประกอบ (Keying) หมายรวมถึงการถ่ายด้วยKeyscreen หรือการฉายภาพด้านหลัง และด้านหน้า (Rear/Front Projection) โดยหลักการคือการแยกส่วนฉาก หรือวัตถุใดๆ ออกจากองค์ประกอบอื่น และนำมาผสมภายหลัง เพื่อผลพิเศษทางภาพ

4การใช้ เทคนิคพิเศษของกล้อง เช่นการใช้เลนส์ในการหลอกระยะ/ขนาด ของวัตถุ เช่นการถ่ายคนยักษ์ โดยให้คนที่ต้องการให้ตัวใหญ่อยู่ไกล้กล้องมากกว่า ส่วนคนที่ต้องการให้ตัวเล็กก็อยู่ไกลออกไป หรือการถ่ายภาพตอนกลางวันให้เป็นกลางคืน(Day For Night)โดยใช้การลดรูรับแสงและใส่ฟิลล์เตอร์ช่วย หรืการถ่ายภาพต่างสปีด (Under/Over Cranking)เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่เร็วหรือช้าลง เป็นต้น

5การ สร้างภาพด้วยระบบดิจิทัล (Digital Effect) ซึ่งหมายรวมทั้ง Animation และ CGI ที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน

การสร้าง เทคนิคพิเศษทางภาพ นั้นมีประวิตที่ยาวนานตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มรู้จักภาพยนตร์ เราก็พยายามที่จะสร้างภาพมายาให้สมจริงที่สุด เทคโนโลยีที่เติบโตทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ เติบโตอย่างรวดเร็ว จะหลายคนหลงไหลกับเทคโนโลยีมากจนลืมวิญญาณของงานสร้างไป สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เคยพูดในเบื้องหลังภาพยนตร์จูลลาสสิคพาร์คว่า "ทุกอย่างมีวิธีที่ง่ายที่สุดเสมอ และเขาจะใช้วิธีที่ง่ายก่อน" นั่นคือเหตุผลที่เขาใช้หุ่นจำลองของไดโนเสาร์ในฉากโคลสอัพ ทั้งที่CGI ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่นั่นมันทำให้เขาได้ภาพในทันที และแน่นอนว่ามันช่วยสร้างอารมณ์ให้กับนักแสดงได้มากกว่า คนสวมชุดสีเขียว

ใน เรื่อง Terminator ฉากที่อาโนลฯ ขี่มอเตอร์ไซค์ชอบเปอร์อยู่หน้ารถสิบล้อที่ไล่หลังมา และเขาใช้มือข้างหนึ่งคว้าพระเอกมาซ้อนหลัง ฉากนั้นเสี่ยงเกินกว่าจะถ่ายจริงๆได้ เจมส์ คาเมรอนจึงถ่ายรถสิบล้อมาเปล่าๆ แล้วนำมาฉายภาพด้านหลังในสตูดิโอโดยมีนักแสดงทำท่าขี่มอเตอร์ไซค์อยู่หน้า ฉากหนัง

ในเรื่อง matrix ฉากที่นีโอ นั่งในรถแล้วมองวิวเมืองที่เคลื่อนผ่านไป ก็เป็น การฉายภาพด้านหลัง

ใน เรื่องLord Of the Ring เมืองของเอลฟ ที่โฟรโดยืนมอง เป็นฉากย่อส่วน ที่ถ่ายไว้แพื่อนำมาผสมภาพกับนักแสดงที่ถ่ายบน กรีนสกรีน (และน้ำตกที่เห็นอยู่ในฉากคือ น้ำตาลทรายที่ภูกเทลงมา)

ในเรื่องAi บริษัทILM สร้างโมเดลเมืองนิวยอร์คจมน้ำแบบย่อส่วนเพื่อถ่ายฉากนี้ ก่อนปรับแต่งและเสริมให้สมจริงด้วยCGI


จะ เห็นได้ว่าโลกของวิชวลเอฟเฟค ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับการทำCGIเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานเทคนิคต่างๆให้ออกมาเป็นภาพมายาที่น่าทึ่งในที่สุด การศึกษางานวิชวลเอฟเฟค จึงจำเป็นต้องรู้มากกว่าการใช้โปรแกรมคมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องรู้จักประยุกต์ใช้เทคนิคต่างๆอย่างเมาะสมและลงตัว